วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธีป้องกันสมองเสื่อม (Anti Alzhimer)

สวัสดีคะ ^/\^ โพสต์นี้เป็นการคัดย่อมา หากท่านต้องการอ่านฉบับเต็มคลิกที่นี่ได้เลยคะ

     ความแก่เป็นความทุกข์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่ละคนต่างก็มีความกลัวความแก่ในแต่ละรูปแบบกันไป แต่ที่ทุกคนกลัวเหมือนกันคือสมองแก่ สมองเสื่อม เนื่องจากสมองเป็นที่อยู่ของจิตใจ ซึ่งสามารถทำให้เกิดความรู้สึก สุขทุกข์ได้มาก เมื่อมีอาการสมองแก่ เช่นขี้หลงขี้ลืม ทำเงินหาย ทำบัตรเอทีเอ็มหายบ่อยๆ ทำให้เกิดความทุกข์ใจมาก หลายคนจึงต้องดิ้นรนเสาะแสวงหาทางป้องกันความแก่ทุกวิถีทาง

     มีการศึกษาวิจัยเรื่องคาเฟอีนในกาแฟสามารถช่วยเพิ่มการทำงานของสมองหรือเพิ่มไอคิวของคนกินได้ การดื่มกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้แจ่มใสทำงานดีขึ้น จากการทดลองผลปรากฎว่าคนที่กินคาเฟอีนมีความจำระยะสั้นดี แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไปซึ่งจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้

     อาหารสมองเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงกันมานาน มีการเอาสารเสริมอาหารมาขายกันมาก บางอย่างเขาก็อ้างว่าทำให้สมองดีขึ้น ความจำดีขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจน ระยะหลังนี้มีข้อมูลจากการวิจัยมากขึ้น หมอแอนดรู วีล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ทางเลือก เขียนแนะนำเรื่องอาหารสมองไว้หลายอย่าง เช่น เนื้อปลา น้ำมันปลา ขมิ้น ผักผลไม้ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม คาโรตีนอยด์

     กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acid) ที่อยู่ในน้ำมันปลามีคุณสมบัติบำรุงสมองได้ ทั้งนี้เพราะสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์สมอง ถ้าขาดไปจะทำให้เซลล์สมองอ่อนแอ เป็นโรคได้ง่าย อาหารของชนชาติญี่ปุ่นและเมดิเตอเรเนียน ทำให้คนของเขาอายุยืนล้วนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 มาก เนื่องจากมีเนื้อปลาอยู่มาก ผู้รู้จึงแนะนำให้กินเนื้อปลาบำรุงสมองมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น คนที่ไม่ถนัดกินเนื้อปลาก็อาจจะใช้น้ำมันปลาที่ทำขายเป็นเม็ด (แต่ไม่ใช่น้ำมันตับปลาที่เหม็นคาว อย่างที่เด็กสมัยผมเคยถูกบังคับให้กิน) เช่น Krill Oil ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสสระและไม่เหม็นคาว เขาใช้สารตัวนี้รักษาโรคซึมเศร้า สมาธิสั้น ออทิซึม สำหรับนักมังสวิรัติ อาจจะหากรดไขมันโอเมก้า 3 กินในถั่ววอลนัท เม็ดแฟล็กซ์ ปอ หรือ สาหร่ายทะเล

     ขมิ้นที่เราเอามาทำเครื่องแกงมีสาร Curcumin ต้านการอักเสบ ช่วยลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลโซเมอร์ได้ มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตไว้ว่าคนอินเดียมีอัตราการเกิดโรคอัลโซเมอร์ต่ำที่สุดในโลก อาจเป็นเพราะคนอินเดียมีการใช้ขมิ้นทำเครื่องแกงกินกันมากนั่นเอง

     หมอวีลแนะนำว่าควรกินผักผลไม้ให้มากเข้าไว้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านสารพิษ ที่ทำให้เกิดมะเร็งและทำลายสมอง วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม และคาโรทีนอยด์ ถ้ากินเสริมอาหารเข้าไปอาจช่วยป้องกันความเสื่อมของสมองได้ แต่ในบรรดาสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หมอแอนดรู วีล กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุนแข็งขันเท่ากับเนื้อปลาและน้ำมันปลา

     โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์นี้ มีคนรู้จักกันมาก ใครๆ ก็กลัวโรคนี้จนมีคำถามว่าโรคนี้ป้องกันได้หรือไม่ คำตอบคือป้องกันได้บางส่วน คือชะลอมันลงไปได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันหรือชะลอโรคอัลไซเมอร์นี้คือ การรักษาสุขภาพของระบบหลอดเลือด และหัวใจให้อยู่ในสภาพดี โดยการออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว เต้นแอโรบิค ว่ายน้ำ เต้นรำ หรือที่ดีที่สุดคือ ทำหลายกิจกรรมอย่างว่า แบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป จะช่วยรักษาสมองของเราได้ดีกว่าอย่างอื่น (และทำให้บาดเจ็บจากการออกกำลังกายน้อยลง) นอกจากนี้ควรเลิกสูบบุหรี่ กินอาหารไขมันต่ำ ถ้าเป็นโรคเบาหวาน ต้องใส่ใจควบคุมรักษาให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับดี กินผักผลไม้ให้เพียงพอ กินปลา และน้ำมันปลา (ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น) ทุกอย่างที่ว่ามานี้ร่วมช่วยกันรักษาให้หลอดเลือดทั่วร่างกาย รวมทั้งของสมองด้วยไม่ให้ตีบตัน สามารถนำออกซิเจนไปต้านความเสื่อมได้ดี

     เมื่อไม่นานมานี้พบว่าการออกกำลังกายนอกจากจะมีผลดีต่อหลอดเลือด หัวใจ และสมองแล้ว ยังกระตุ้นให้มีการผลิตสารเร่งการเสริมสร้าง (Growth Factor) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เซลล์ประสาทมีสุขภาพดีด้วย

     การฝึกสมองทดลองปัญญาเป็นประจำก็สามารถช่วยรักษาคุณภาพของสมองเอาไว้ได้ดี เช่น การเรียนภาษาใหม่ๆ ฝึกทดสอบความจำ ทำข้อสอบไอคิว ฯลฯ จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่าการใช้สมองอ่านหนังสือ แก้ปริศนาอักษรไขว้ เล่นหมากรุก เล่นดนตรี สามารถลดการเกิดสมองเสื่อมได้ดีกว่าการอยู่เฉยๆ และพบว่ายิ่งทำมากยิ่งมีผลดีมาก เช่น คนแก้ปริศนาอักษรไขว้อาทิตย์ละ 4 ครั้ง สมองเสื่อมน้อยกว่าคนแก้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ถึง 47%

     จากข้อมูลของผู้รู้เท่าที่กล่าวมานี้ ก็สามารถช่วยให้เรารักษาประคับประคองสมองอันเป็นที่รักของเรา ให้อยู่ยั้งยืนยงไปได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งสำคัญคือต้องลงมือทำตั้งแต่บัดนี้เลย ไม่ว่าท่านจะยังหนุ่มยังสาวซิงๆ แค่ไหนก็ตาม

อ่านจบแล้วอย่าผ่านเลยไป ขอให้ปฏิบัติเท่าที่สามารถทำได้ให้มากที่สุดเพื่อสุขภาพสมองของท่านสดชื่น แข็งแรง ห่างไกลจากสมองเสื่อม สวัสดีคะ ^/\^

ขอขอบคุณ:
  • นิตยสาร HealthToday

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความรุนแรงในครอบครัว เรื่องใหญ่ที่สังคมไทยยังมองข้าม (Family)

สวัสดีคะ ^/\^ บทความที่นำมาโพสต์นี้เป็นการคัดย่อมา หากท่านใดต้องการอ่านฉบับเต็มคลิกที่นี่ได้เลยคะ

     เมื่อไม่นานมานี้ งานวิจัยเรื่อง “สุขภาวะครอบครัวไทย ปี 2555” โดย ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าสถิติการใช้กำลังทำร้ายกันในครอบครัวในปี 2555 เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ค่อนข้างมาก และเพิ่มขึ้นในทุกภาคของประเทศไทย

     ภาคกลาง (ไม่นับ กทม.) ครองแชมป์ความรุนแรงในครอบครัวมากที่สุดของปี 2555 ตามมาด้วยภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกรุงเทพมหานคร

     สอดคล้องกับข้อมูลของ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พบว่ามีข่าวการใช้ความรุนแรงในครอบครัวถึง 333 ข่าว ในจำนวนนี้ ร้อยละ 59.16 เป็นความรุนแรงในระดับเข่นฆ่าเอาชีวิตกัน และในจำนวนนี้หากแบ่งแยกย่อย พบว่าเป็นความสัมพันธ์แบบสามีภรรยามากที่สุด รองลงมาคือความสัมพันธ์แบบแฟน ทั้งนี้ จังหวัดที่มีข่าวบ่อยที่สุดคือ กทม. รองลงมาคือ สมุทรปราการ นครปฐม ปทุมธานี และชลบุรี ตามลำดับ

     ฝ่ายหญิงถูกทำร้ายร่างกายจนเลือดตกยางออก และเป็นการถูกทำร้ายแบบซ้ำซาก จนคนรอบข้างทนไม่ไหวไปแจ้งความร้องทุกข์ แต่พอเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะมาระงับเหตุและเตรียมดำเนินคดีกับผู้ลงไม้ ลงมือ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายชาย กลับเป็นฝ่ายหญิงที่ไม่ยอม และต่อว่าต่อขานจนเจ้าหน้าที่หรือพลเมืองดีไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วย

     ในมุมนี้ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา อธิบายว่า ส่วนหนึ่งของผู้หญิงที่ยอมถูกกระทำซ้ำซากจากแฟนหรือสามีของเธอ โดยลึกๆ แล้วรู้สึกกลัวจะขาดความมั่นคงในชีวิต จึงยอมทนอยู่ทั้งที่รู้ว่าเจ็บปวด กับอีกส่วนหนึ่งอยู่ด้วยหน้าตา-ฐานะทางสังคม หรือทนอยู่เพื่อลูก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ตัดสินใจหย่าร้าง ก็มีอยู่พอสมควรเช่นกัน

     “ตอนนี้เมืองไทยพอๆ กับเมืองนอกแล้ว แต่ของเราจะหนักกว่า อย่างการหย่าร้างคือเลิกเลยไม่เอาแล้ว ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์ อยู่ได้ด้วยหน้ากากสังคม คือไม่ได้รักกันแล้ว เกลียดกันแล้ว คือไม่มองหน้ากัน แต่อยู่เพื่อลูกหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่อยู่ด้วยหน้ากากทางสังคม ที่น่ากลัวก็คือ ผู้หญิงไทยทนอยู่ด้วยความแค้น ร่วมๆ 20 เปอร์เซ็นต์ คือคุณแก่เมื่อไร อ่อนแอเมื่อไรฉันจะแก้แค้นกลับ ถ้าได้โอกาสเมื่อไรก็จะแก้แค้นกลับ ดังนั้นถ้ามันเป็นแบบนี้ หย่าร้างกันเลยดีกว่า คือเรื่องสามีภรรยา ผมให้ 2 ล. คือถ้าไม่ลืมก็ต้องเลิก แต่ทีนี้มันลืมไม่ได้ก็ประชดประชัน ต่อว่ากัน ก็เป็นความรุนแรงในครอบครัว คือลืมไม่ได้ก็ต้องเลิกสิครับ เพราะยิ่งคิดยิ่งแค้น ยิ่งอยู่นานยิ่งแค้น ก็จะจบด้วยการทำร้ายกัน” ดร.วัลลภ กล่าว

     อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวัง คือสภาวะ “เสพติด” (Addict) ในสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสพติดสุรา-ยาเสพติด การพนัน หรือกามารมณ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเพศชายค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้อยู่เสมอ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งหรืออาจจะหลายอย่างพร้อมกัน โดย ดร.วัลลภ เล่าว่าผู้หญิงที่มาขอคำปรึกษา มักจะมาด้วยสาเหตุที่สามีไปมีผู้หญิงอื่น

     "การเสพติดที่ทำลายครอบครัวมากที่สุด คือเสพติดการพนัน รองลงมาคือเสพสารเสพติด อย่างการพนัน โบราณเขาบอกว่าถูกขโมยกี่ครั้งก็ไม่เท่าไฟไหม้ แต่ไฟไหม้กี่ครั้งก็ไม่เท่าผีสิงการพนัน ดังนั้นการเสพติดหรือที่เรียกว่า Addict ไม่ว่าจะเป็นการพนันหรือยาเสพติด มันเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงในครอบครัวทั้งหมด

     หรืออย่างคนติดเหล้าหรือสารเสพติด เขาก็บอกมันไม่หนักหัวใคร เรื่องของเขาชีวิตของเขา คือพวกนี้มันเมา มันไม่รู้เรื่อง มันฆ่าใครก็ได้หมด พูดจาไม่รู้เรื่อง อย่างติดเหล้านี่พอเหล้าเข้าไปพูดจาไม่รู้เรื่อง ก็ยิงกันฆ่ากันตายได้หมด” ผู้เชี่ยวชาญด้านด้านจิตวิทยา กล่าวทิ้งท้าย ซึ่งก็สอดคล้องกับการศึกษาของ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ที่พบว่าครอบครัวที่มีปัญหาความรุนแรง ร้อยละ 83.6 มีการดื่มสุราร่วมด้วย

     ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาเล็กๆ ที่สังคมไทยมักจะมองข้ามเสมอ ซึ่งก็มีสาเหตุหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นค่านิยมชายเป็นใหญ่ที่มองว่าการนอกใจหรือทำร้ายร่างกายภรรยา เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ การมีปัจจัยอื่นๆ มาเกี่ยวข้อง เช่น เสพติดสุราหรือสารเสพติด หรือเสพติดการพนัน

     หรือแม้กระทั่งทิฐิมานะของฝ่ายหญิงเอง ที่ไม่ยอมเลิกราหย่าร้าง เพราะจะมีความรู้สึกเหมือนตัวเองแพ้และเสียหน้า และเมื่อทนอยู่ไปนานๆ มีการพูดจาประชดประชันกันไปมาหนักขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดฝ่ายชายอาจโมโหถึงขั้นลงไม้ลงมือกับฝ่ายหญิงถึงแก่ชีวิต ในทางกลับกัน ฝ่ายหญิงบางรายที่ถูกฝ่ายชายทำร้ายบ่อยครั้ง เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง อาจเป็นฝ่ายลงมือฆ่าฝ่ายชายเสียเอง ด้วยความโกรธแค้นที่สะสมมานานก็เป็นได้

     ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย เพราะปัจจุบันเรามี พ.ร.บ.ความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ออกมารองรับ แต่สิ่งสำคัญ คือจะทำอย่างไร ให้การลงไม้ลงมือในครอบครัวเป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ และจะทำอย่างไร ให้ผู้ถูกกระทำ ที่ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง เลือกที่จะเดินออกมาจากความรุนแรง แทนที่จะทนอยู่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม เพื่อตัดวงจรความรุนแรงเสียตั้งแต่ต้น

     เพราะไม่ว่าชายหรือหญิง เข้มแข็งหรืออ่อนแอ เมื่อถูกกระทำมากๆ เข้า อาจตัดสินใจตอบโต้เอาคืน จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมได้ และผู้ที่ต้องทุกข์ใจที่สุด คือคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกของพวกเขาเอง

Hobby Geek ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ "ต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว" สวัสดีคะ ^/\^

ขอขอบคุณ
  • http://www.thaihealth.or.th/partner/partner_stor/37618

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การชะลอวัย (Aging)

สวัสดีคะ ^/\^ คำว่า "แก่" ใครก็ไม่อยากเป็นและไม่อยากได้ยิน ให้ดีถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงไปไกลๆ แต่สัจธรรมแห่งชีวิตหลีกหนีไม่พ้น เมื่อหนีไม่พ้นเราก็ควรที่จะใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

     ความชรานั้นมิใช่โรคภัยไข้เจ็บ แต่ทว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ท่านไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่ทว่าท่านสามารถชะลอความชราได้อย่างเหมาะสม 

     โครงการยืดอายุการดำรงชีวิตของมนุษย์สามารถเป็นไปได้ และทำให้มนุษยชาติมีอายุยืนยาวได้ถึง 120 ปี เพื่อบรรลุผลสำเร็จเบื้องต้นนั้น ทุกๆท่านจะต้องดำรงชีวิตอย่างสมดุล 

     รวมทั้งการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ สภาพแวดล้อม รวมทั้งโภชนาการที่ถูกหลัก หากท่านรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม โภชนาการที่ถูกหลักจะสามารถทำให้ท่านชะลอวัยได้

     5 สาเหตุหลักของความชรา
  • อนุมูลอิสระ 
  • ไกลเคชั่น 
  • เมทิลเลชั่น 
  • ภาวะอักเสบรุนแรงเฉียบพลัน 
  • กระบวนการเสื่อมถอยของเนื้อเยื่อ ดีเอ็นเอ

     หากท่านสามารถป้องกันและเตรียมพร้อมได้อย่างน้อย 4 ประการ ท่านจะชะลอความชราได้ รวมทั้งสามรถลดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือการเสื่อมของเนื้อเยื่อและฮอร์โมนได้

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้อายุเป็นเพียงตัวเลขได้ ย่อมดีกว่าต้องมาบ่นในภายหลังว่าเจ็บนู่น ปวดนี้ โรครุมเร้า จริงไหมคะ สวัสดีคะ ^/\^

ขอขอบคุณ