วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เพราะเหตุใด DHA จึงสำคัญกับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์?

สวัสดีคะ ^/\^ บทความ "เพราะเหตุใด DHA จึงสำคัญกับคุณแม่ตั้งครรภ์?" เป็นบทความคัดย่อมาจากเว็บไซต์ http:/www.xtend-life.co.thm หากต้องการอ่านแบบเต็มๆ คลิกที่ลิงค์หรือรูปภาพได้เลยคะ


     โจแอนนา  แมคคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการทางการแพทย์กล่าวว่า “มีกว่า 50 หลักฐานที่แสดงถึงประโยชน์ของ DHA และผลการศึกษาอีกมากมายที่บ่งชี้ว่า เด็กที่เกิดจากมารดาที่มีระดับ DHA จะมีพัฒนาการทางสมอง ตลอดจนกระบวนการนึกคิด การมองเห็น และการเจริญเติบโตที่ดีในช่วงวัยการเจริญเติบโต และอีกทั้งยังส่งผลถึงสุขภาพของมารดาหลังคลอดอีกด้วย

     หากมารดาที่ตั้งครรภ์ได้รับสารอาหารเสริมประเภท DHA นั้น จะช่วยให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ดังนี้
  • การประสานงานที่ดีของมือ และสายตา
  • กระบวนการนึกคิด
  • มีสมาธิที่ดีขึ้น

     “อีกทั้ง DHA ยังมีส่วนช่วยให้มารดายืดอายุครรภ์ออกไปได้ถึง6 วัน ซึ่งจะช่วยให้ให้ทารกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ในครรภ์มารดา และมีผลการศึกษาที่กล่าวว่าการได้รับ DHA ที่เพียงพอระหว่างตั้งครรภ์นั้นจะช่วยให้มารดามีอารมณ์ที่สมดุลมากขึ้นด้วย และอาจช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอีกด้วย”

อาการซึมเศร้าหลังคลอด (PND)

     จะมีผู้หญิงประมาณ 5-25% ที่มีอาการซึมเศร้าหลังการคลอดบุตรหรือในช่วง 1 เดือนหลังคลอดบุตร
เป็นเรื่องปกติที่อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ เป็นช่วงเวลาที่อารมณ์จะไม่คงที่ อย่างไรก็ตามสามรถแบ่งย่อยออกเป็นระดับต่างๆตั้งแต่ ระดับน้อย กลาง รุนแรง (baby Blues) ไปจนถึงอาการโรคประสาท

     โจแอนนากล่าวว่า “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์และหลังคลอดของมารดาจะการเพิ่มขึ้นของ ภาวะการอักเสบ (Pro-inflammatory Agents) หรือเรียกว่า Cytokines ในร่างกาย ภาวะเหล่านี้จะส่งผลต่อการนอนหลับของมารดา อาการปวดหลังคลอด ความรู้สึกเจ็บป่วยทางด้านจิตใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดความเครียด และอาจกลายเป็นภาวะซึมเศร้า

     ยังมีการศีกษาที่พบว่าส่วนใหญ่ผู้ที่มีอาการเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่มีระดับ DHA ในเม็ดเลือดแดงต่ำ กรดไขมันโอเมก้า 3 นี้มีส่วนช่วยในการต่อต้านอาการอักเสบ และช่วยลดภาวะอาการทางอารมณ์ได้อีกด้วย” เธอกล่าว

โอเมก้า 3 สำคัญกับเด็กเท่านั่นหรือ?

     จริงๆแล้วก็ใช่ ผลการทดลองพิสูจน์ว่า DHA สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาสมองในเด็กในทุกช่วงอายุ ดังที่กล่าวข้างต้น  ทารกในครรภ์มารดาสามารถได้รับประโยชน์ของ DHA และยังส่งผลให้ IQ พัฒนาได้มากขึ้นจนอายุถึง 4 ปี

     ยังมีผลการพิสูจน์เพิ่มเติมดังนี้:
  • ทารกแรกเกิด ถึง 6 เดือน ทารกจะได้รับประโยชน์ในเรื่องการประสานงานของประสาทมือและตาเมื่อเปรียบเทียบผล เมื่ออายุ 2 ปี
  • ช่วงอายุ 6 เดือนถึง 12 ปี DHA จะถูกใช้ในการพัฒนาฮอร์โมนที่สำคัญของระบบประสาท และช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของทารกอีกด้วย
  • ช่วงอายุ 2-5 ปี จากผลการสำรวจพบว่าหาเด็กในช่วงอายุนี้มี DHA ต่ำก็จะมีผลให้เกิดความเสียงต่อโรค ADHD, ปัญหาด้านสายตา และโรคซึมเศร้ า

ผู้อำนวยการแพทย์ของ Xtend-Life Dr. Anthony Perillo

      Dr. Anthony กล่าวว่า เด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคหืดหอบนั้น หากมารดาได้รับปริมาณของน้ำมันปลาที่เพียงพอประมาณ 71% ที่โรคหืดหอบจะพัฒนา ไม่ใช่ว่าจะเป็นปลาอะไรก็ได้ อาหารจำพวกปลาทอดจะมีปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่สูงซึ่งจะส่งผลให้มีโอกาสเป็นโรคหืดหอบมากขึ้น

     “เด็กที่เกิดจากมารดาที่มีโรคประจำตัวหรือโรคภูมิแพ้แทรกซ้อน แต่รับประทานโอเมก้า 3 เสริมจะช่วยให้เด็กลดอัตราการแพ้อาหารประเภทโปรตีนไข่ได้ถึง 3 เท่าและข่วยลดอัตราเสี่ยงของผิวหนังอักเสบจากโรคภูมิแพ้ได้ถึง 10 เท่า”

     และมีรายงานว่าเด็กที่มีปริมาณ DHA ต่ำนั้นมีโอกาสเกิดโรค ADHD โรคทางสายตาและอาการซึมเศร้าได้สูงกว่า

     การบริโภคโอเมก้า 3 ในระหว่าการตั้งครรภ์ และช่วงที่ทารกกำลังเจริญเติบโตนั้นอาจมีผลดีในทางบวกกับค่า BMI ในเด็ก การควบคุมน้ำหนักและการลำเลียงกลูโคสในเด็กสามารถช่วยลดปัญหาโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานในเด็กได้อีกด้วย

มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการได้รับ DHA มีประโยชน์เป็นอย่างมากกับคุณแม่หลังคลอด ไม่เพียงเท่านั้นยังมีประโยชน์มากกับเด็กรวมถึงทารกอีกด้วย  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า 3 / ดีเอชเอน้ำมันปลาของ Xtend-Life นั้นจะช่วยให้คุณแม่และเด็กมีสุขภาพที่ดี และยาวนาน สวัสดีคะ ^/\^

ขอขอบคุณ

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กินเจ 2556 (Veg 2013)

สวัสดีคะ ^/\^ บรรยากาศคุ้นชินช่วง “เทศกาลกินเจ” เวียนมาอีกครั้ง หลายๆ ท่านถือช่วงเวลานี้เป็นการปรับโภชนาการให้กับตัวเองเสียใหม่ โดยหากกินไม่ถูกตามหลักโภชนาการของแต่ละช่วงวัยจะมีผลกระทบตามมาได้ เช่น น้ำหนักขึ้น เกิดภาวะขาดสารอาหาร เป็นต้น

การกินเจ เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน ท่านใดสนใจสามารถคลิกอ่านได้ที่นี่


กินโปรตีนจากพืชทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์
     สารอาหารประเภทโปรตีนสามารถหาทดแทนได้จากแหล่งโปรตีนจากพืช อาทิ เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ธัญพืช จริงอยู่ที่ว่า โปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนคุณภาพดีให้กรดอะมิโนครบถ้วน ส่วนโปรตีนที่ได้จากพืชจะขาดกรดอะมิโนบางตัวไป แต่เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาอะไรกับร่างกาย หากเรากินแบบผสมผสานก็สามารถทดแทนโปรตีนที่ขาดหายไปได้ เช่น การกินเต้าหู้ควบคู่กับถั่วเขียว ถั่วแดง ข้าวบาเร่ ลูกเดือย เป็นต้น

กินเจไม่อยู่ท้อง จึงควรกินมื้อหลัก 3 มื้อและเติมมื้อว่าง 2 มื้อ
     หิวบ่อย! เพราะสารอาหารโปรตีนจากพืชย่อยง่ายและย่อยเร็ว จึงควรเติมพลังงานเล็กน้อยเป็นมื้อว่างระหว่างวัน นับถัดจากมื้อหลัก 2 ชั่วโมง ในมื้อเช้าและเที่ยงด้วยเมนูเต้าหู้ทอด หรือนมถั่วเหลือง เมนูถั่วต่างๆ หรือธัญพืชคลุกรวมที่ให้กากใยสูง ทั้งนี้ให้ควบคุมอาหารมื้อว่างในปริมาณไม่เกิน 200 กิโลแคลลอรี และควบคุมความสมดุลของอาหารที่กินแต่ละประเภทไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป

     นอกจากนี้ หากก่อนนอนช่วง 1-2 ทุ่มเกิดอาการหิวอีก แนะนำให้กินนมถั่วเหลือง น้ำนมข้าว นมข้าวโพด น้ำงาดำ น้ำฟักทอง ในปริมาณไม่เกิน 200–250 ซีซีต่อครั้ง

กินเจให้เหมาะสมกับช่วงวัย
     แน่นอนว่ากิจกรรมที่ทำระหว่างวันของแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามช่วงวัย โภชนาการที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นักกำหนดอาหารวิชาชีพ ให้แนะนำการกินเจในกลุ่มคน 3 ช่วงวัย ได้แก่

     วัยรุ่น เป็นวัยที่ต้องใช้พลังงานค่อนข้างมาก แนะนำให้กินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว เผือก แทนข้าวขาวและของทอด โดยอาจเสริมอาหารระหว่างวัน เช่น นมถั่วเหลือง 2-3 กล่องระหว่างมื้อ เต้าหู้ทอดที่ผิวนอกกินกับซอสญี่ปุ่น

     วัยทำงาน เป็นวัยที่ต้องใช้กำลังสมองมากและมักมีปัญหาเรื่องไม่ค่อยมีเวลา แนะนำให้กินนมถั่วเหลืองอุ่นแทนกาแฟ และเสริมมื้อว่างช่วงบ่ายด้วย งาขาวอัดแท่ง ถั่วลิสง ถั่วปากอ้า หรือเมล็ดทานตะวัน ซึ่งมีโปรตีนและไขมันชนิดดีช่วยทำให้อยู่ท้องอีกทั้งการเคี้ยวยังช่วยในกระบวนการคิดในการทำงานดีขึ้นอีกด้วย

     ผู้สูงอายุ ปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นคือการกินผักผลไม้อาจทำให้บางคนเกิดอาการท้องอืด จึงควรหลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีกากใยเยอะเกินไป รวมถึงหลีกเลี่ยงการกินผักสด เช่น กะหล่ำปลีสด ผักกาดหอมสด ดังนั้นควรนำมาปรุงให้สุกก่อนทุกครั้ง นอกจากนี้ในผู้สูงอายุบางรายการกินนมถั่วเหลืองก็อาจทำให้ท้องอืดได้เช่นกัน จึงแนะนำให้กินน้ำธัญพืช เช่น น้ำงาดำ น้ำลูกเดือย เป็นต้นแทน
     โดยปกติแล้วที่ผู้สูงอายุค่อนข้างกินได้น้อยกว่าความต้องการ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารได้ จึงแนะนำเป็นอาหารนิ่มๆ เช่น ผัดเต้าหู้สามรส จับฉ่ายเห็ดหอมเต้าหู้ เต้าหู้ผัดเปรี้ยวหวานสับปะรด โดยเอนไซม์จากสับปะรดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารให้ดีขึ้น และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

กินเจไม่อ้วนอย่างที่คิด ต้องระวังเรื่องน้ำมัน
     หากลองสำรวจดูจะพบว่า อาหารเจสำเร็จที่วางขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะเป็นอาหารประเภทไขมันสูงหนักแป้ง และมักปรุงด้วยกรรมวิธีการทอดและผัด “น้ำมัน” จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรระมัดระวัง
     ส่วนมากร้านค้าทั่วไปจะใช้น้ำมันปาล์มซึ่งเป็นน้ำมันอิ่มตัวทำให้มีปํญหาเรื่องคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง หากมีโอกาสปรุงอาหารเองที่บ้านควรใช้น้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันรำข้าวปรุงอาหารในปริมาณที่เหมาะสม แนะนำเมนูเจง่ายๆ แต่ให้ประโยชน์ อย่าง ข้าวหุงธัญพืช เต้าหู้เย็นราดซอสญี่ปุ่น ต้มยำเห็ดฟาง เต้าตู้ผัดสามรส
     รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวชนิดธัญพืช เช่น งาดำ งาขาว ถั่วต่างๆ ก็จะมีน้ำมันที่เป็นไขมันดีอยู่แล้ว จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันส่วนเกิน

ท่านใดต้องการอ่านแบบฉบับสมบูรณ์คลิกที่นี่คะ สวัสดีคะ ^/\^

ขอขอบคุณ: