โจแอนนา แมคคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการทางการแพทย์กล่าวว่า “มีกว่า 50 หลักฐานที่แสดงถึงประโยชน์ของ DHA และผลการศึกษาอีกมากมายที่บ่งชี้ว่า เด็กที่เกิดจากมารดาที่มีระดับ DHA จะมีพัฒนาการทางสมอง ตลอดจนกระบวนการนึกคิด การมองเห็น และการเจริญเติบโตที่ดีในช่วงวัยการเจริญเติบโต และอีกทั้งยังส่งผลถึงสุขภาพของมารดาหลังคลอดอีกด้วย
หากมารดาที่ตั้งครรภ์ได้รับสารอาหารเสริมประเภท DHA นั้น จะช่วยให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ดังนี้
- การประสานงานที่ดีของมือ และสายตา
- กระบวนการนึกคิด
- มีสมาธิที่ดีขึ้น
“อีกทั้ง DHA ยังมีส่วนช่วยให้มารดายืดอายุครรภ์ออกไปได้ถึง6 วัน ซึ่งจะช่วยให้ให้ทารกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ในครรภ์มารดา และมีผลการศึกษาที่กล่าวว่าการได้รับ DHA ที่เพียงพอระหว่างตั้งครรภ์นั้นจะช่วยให้มารดามีอารมณ์ที่สมดุลมากขึ้นด้วย และอาจช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอีกด้วย”
อาการซึมเศร้าหลังคลอด (PND)
จะมีผู้หญิงประมาณ 5-25% ที่มีอาการซึมเศร้าหลังการคลอดบุตรหรือในช่วง 1 เดือนหลังคลอดบุตร
เป็นเรื่องปกติที่อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ เป็นช่วงเวลาที่อารมณ์จะไม่คงที่ อย่างไรก็ตามสามรถแบ่งย่อยออกเป็นระดับต่างๆตั้งแต่ ระดับน้อย กลาง รุนแรง (baby Blues) ไปจนถึงอาการโรคประสาท
โจแอนนากล่าวว่า “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์และหลังคลอดของมารดาจะการเพิ่มขึ้นของ ภาวะการอักเสบ (Pro-inflammatory Agents) หรือเรียกว่า Cytokines ในร่างกาย ภาวะเหล่านี้จะส่งผลต่อการนอนหลับของมารดา อาการปวดหลังคลอด ความรู้สึกเจ็บป่วยทางด้านจิตใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดความเครียด และอาจกลายเป็นภาวะซึมเศร้า
ยังมีการศีกษาที่พบว่าส่วนใหญ่ผู้ที่มีอาการเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่มีระดับ DHA ในเม็ดเลือดแดงต่ำ กรดไขมันโอเมก้า 3 นี้มีส่วนช่วยในการต่อต้านอาการอักเสบ และช่วยลดภาวะอาการทางอารมณ์ได้อีกด้วย” เธอกล่าว
โอเมก้า 3 สำคัญกับเด็กเท่านั่นหรือ?
จริงๆแล้วก็ใช่ ผลการทดลองพิสูจน์ว่า DHA สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาสมองในเด็กในทุกช่วงอายุ ดังที่กล่าวข้างต้น ทารกในครรภ์มารดาสามารถได้รับประโยชน์ของ DHA และยังส่งผลให้ IQ พัฒนาได้มากขึ้นจนอายุถึง 4 ปี
ยังมีผลการพิสูจน์เพิ่มเติมดังนี้:
- ทารกแรกเกิด ถึง 6 เดือน ทารกจะได้รับประโยชน์ในเรื่องการประสานงานของประสาทมือและตาเมื่อเปรียบเทียบผล เมื่ออายุ 2 ปี
- ช่วงอายุ 6 เดือนถึง 12 ปี DHA จะถูกใช้ในการพัฒนาฮอร์โมนที่สำคัญของระบบประสาท และช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของทารกอีกด้วย
- ช่วงอายุ 2-5 ปี จากผลการสำรวจพบว่าหาเด็กในช่วงอายุนี้มี DHA ต่ำก็จะมีผลให้เกิดความเสียงต่อโรค ADHD, ปัญหาด้านสายตา และโรคซึมเศร้ า
ผู้อำนวยการแพทย์ของ Xtend-Life Dr. Anthony Perillo
Dr. Anthony กล่าวว่า เด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคหืดหอบนั้น หากมารดาได้รับปริมาณของน้ำมันปลาที่เพียงพอประมาณ 71% ที่โรคหืดหอบจะพัฒนา ไม่ใช่ว่าจะเป็นปลาอะไรก็ได้ อาหารจำพวกปลาทอดจะมีปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่สูงซึ่งจะส่งผลให้มีโอกาสเป็นโรคหืดหอบมากขึ้น
“เด็กที่เกิดจากมารดาที่มีโรคประจำตัวหรือโรคภูมิแพ้แทรกซ้อน แต่รับประทานโอเมก้า 3 เสริมจะช่วยให้เด็กลดอัตราการแพ้อาหารประเภทโปรตีนไข่ได้ถึง 3 เท่าและข่วยลดอัตราเสี่ยงของผิวหนังอักเสบจากโรคภูมิแพ้ได้ถึง 10 เท่า”
และมีรายงานว่าเด็กที่มีปริมาณ DHA ต่ำนั้นมีโอกาสเกิดโรค ADHD โรคทางสายตาและอาการซึมเศร้าได้สูงกว่า
การบริโภคโอเมก้า 3 ในระหว่าการตั้งครรภ์ และช่วงที่ทารกกำลังเจริญเติบโตนั้นอาจมีผลดีในทางบวกกับค่า BMI ในเด็ก การควบคุมน้ำหนักและการลำเลียงกลูโคสในเด็กสามารถช่วยลดปัญหาโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานในเด็กได้อีกด้วย
มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการได้รับ DHA มีประโยชน์เป็นอย่างมากกับคุณแม่หลังคลอด ไม่เพียงเท่านั้นยังมีประโยชน์มากกับเด็กรวมถึงทารกอีกด้วย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า 3 / ดีเอชเอน้ำมันปลาของ Xtend-Life นั้นจะช่วยให้คุณแม่และเด็กมีสุขภาพที่ดี และยาวนาน สวัสดีคะ ^/\^
ขอขอบคุณ