หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

อย่ามองข้าม ‘สุขภาพหู’

สวัสดีคะ ^/\^ อาการเวียนหัวบ้านหมุน หูหนวก หูตึงไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะของผู้สูงอายุอีกต่อไปแล้วคะ

     การสูญเสียการได้ยินในผู้ใหญ่อาจมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมาจากโรคประจำตัว อย่างเช่น เบาหวาน ความดันโลหิต ไขมันสูง โรคหัวใจ ตลอดถึงผลข้างเคียงของยาบางชนิดก็ได้ หรือคนทั่วไปที่มีอาการที่ว่าแถมอยู่ๆก็หูอื้อ หูตึง เวียนหัวบ้านหมุนเป็นนานเกินกว่า 3 วัน หรือเสียการได้ยินแบบเฉียบพลันให้รีบมาพบแพทย์ด่วนเพื่อรับการตรวจและรักษา เพราะต้นเหตุที่พบอาจมาจากน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือหินปูนในหูหลุดซึ่งรักษาให้หายได้

     “ทุกวันนี้ เราใช้ชีวิตท่ามกลางมลภาวะทางเสียงที่ดังเกินกว่าหูของเราควรได้รับ หรือเกินกว่า 70 เดซิเบล อีกทั้งคนรุ่นใหม่เสพติดเทคโนโลยีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ ดูคอนเสิร์ต รวมถึงนิยมออกกำลังกายด้วยกีฬาประเภทที่ผาดโผนโจนทะยาน ห้อยหัวตีลังกา ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดปัญหาเรื่องการได้ยิน” พญ.สุจิตรา ประสานสุข ผู้อำนวยการศูนย์การได้ยิน การพูด และการทรงตัว เสียงในหู โรงพยาบาลกรุงเทพ และประธานองค์กรเพื่อการได้ยินนานาชาติ กล่าว
     
     การใช้หูฟังกับเครื่องเล่นที่ถนอมการได้ยินนั้นคุณหมอแนะนำว่า ให้ฟังในสถานที่เงียบแล้วเปิดระดับความดังไม่เกิน 50% ของเครื่องเล่นและไม่ควรฟังต่อเนื่องนานกว่าครั้งละ 1 ชั่วโมง รวมถึงหลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่มีเสียงดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะอนาคตจะทำให้การได้ยินของหูมีประสิทธิภาพที่ลดลง จากระดับเสียงต่ำๆเบาๆก็ได้ยินกลายเป็นต้องดังมากขึ้นเรื่อยๆ

     การออกกำลังกายก็มีผลทำให้หูมีปัญหาได้เช่นกันจึงควรเลือกชนิดที่ไม่ผาดโผนมากนัก เพราะมีประวัติคนไข้ที่ออกกำลังกายด้วยท่าทางที่ผาดโผน ห้อยหัวตีลังกา ส่งผลต่ออาการน้ำในหูไม่เท่ากันหรือหินปูนในหูเคลื่อนที่ได้ รวมถึงหากมีน้ำเข้าหูแล้วรู้สึกหูอื้อไม่หายก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ หรือคนที่แก้วหูทะลุ เคยผ่าตัดทำให้เกิดช่องว่างในหูถ้าน้ำหรือเชื้อโรคเข้าไปได้ก็เสี่ยงที่จะติดเชื้อและพัฒนาเป็นโรคหูน้ำหนวก และมีปัญหาทางการได้ยินทั้งสิ้น

     นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว พันธุกรรมและความประมาทของมารดาก็มีส่วนทำให้เกิดความพิการทางการได้ยินในบุตรได้เช่นกัน อุบัติการณ์ปัจจุบันจะมีทารกแรกเกิด 3 ใน 1,000 คนที่พิการทางการได้ยินหรือหูตึงมาแต่กำเนิด ด้วยสาเหตุมาจากพ่อแม่และผลจากโรคของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน ครรภ์เป็นพิษ คลอดก่อนกำหนด จึงไม่ควรชะล่าใจที่จะตรวจคัดกรองการได้ยินไม่ว่าจะทารกหรือผู้ใหญ่ เพื่อการวางแผนรักษาหรือฟื้นฟูได้ทันการณ์

     ปัจจุบันแพทย์สามารถตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดใช้เวลาประมาณ 5 นาที และหากว่าไม่ผ่านซึ่งสงสัยว่าหูหนวกหรือหูตึงจะนัดตรวจยืนยันภายในเวลา 6 เดือนแรก เพื่อให้การรักษาและฟื้นฟูบำบัดโดยใช้เครื่องช่วยการได้ยิน รวมทั้งการผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียมและสอนพูดได้ทันเวลา ไม่ให้อาการหูตึงหูหนวกเป็นเหตุให้ไม่สามารถพูดได้หรือเป็นใบ้ในที่สุด

     ยิ่งตรวจพบความผิดปกติล่าช้าการฟื้นฟูจะเป็นไปได้ยาก เพราะพัฒนาการทางสมองส่วนการได้ยินจะสูญเสียไปภายใน 2 ขวบ ดังนั้นการฟื้นฟูอาการหูตึงในเด็กแรกเกิดควรทำตั้งแต่ก่อนอายุ 1 ขวบ เนื่องจากจะสามารถเสริมทักษะต่างๆได้ง่าย แต่ถ้าหากอายุเกิน 3 ขวบ การฟื้นฟูจะยากหรืออาจไม่เกิดผลเพราะสมองที่พัฒนาการพูดหยุดชะงัก

     อย่างไรก็ตามหากเด็กไม่ได้ผ่านการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่แรกเกิด ผู้ปกครองสามารถสังเกตอาการเริ่มต้นได้ อาทิ เด็กไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงหรือพูดด้วยไม่หัน ไม่รับรู้ ตรวจวินิจฉัยตลอดจนการไม่เลียนเสียงพ่อแม่ ออกเสียงไม่ชัดเจน

     ส่วนการให้การรักษาฟื้นฟูจะเป็นไปตามช่วงอายุที่พบ แต่แพทย์จะให้ความรู้ในการเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน ส่วนการใช้การผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมทำได้ในบางคนเท่านั้น

เพื่อการได้ยินของคุณลดระดับเสียงและพฤติกรรมเสี่ยง โพสต์ต่อไปเป็นเรื่องใดโปรดติดตามคะ สวัสดีคะ ^/\^
ขอขอบคุณ
๐ กานต์ดา บุญเถื่อน. (2556, 20 ตุลาคม). กายใจ Experience: อย่ามองข้าม ‘สุขภาพหู’. กายใจ กรุงเทพธุรกิจ, หน้า 8

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

เกิดอะไรขึ้นเมื่อกินวิตามินไม่พอดี (Vitamin)

สวัสดีค่ะ ^/\^ ในสมัยที่ยังเด็กได้เรียนมาว่า วิตามินมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าวิตามินที่เรากินกันอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะวิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนซ์ (A, C, D, E) นั้น หากกินเกินความพอดี ก็สามารถก่ออันตรายต่อร่างกายได้เหมือนกัน 

วิตามินเอ

     ปริมาณวิตามินเอที่ร่างกายเราควรได้รับนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 600 - 800 ไมโครกรัม /วัน หากเรากินวิตามินเอมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็ทำให้เกิดอันตรายได้

อันตรายจากการขาดวิตามินเอ
• โรคผิวหนัง วิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง การขาดวิตามินเอ จึงทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื่น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณผิวหนัง ข้อศอก ตาตุ่ม และข้อต่อต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิว และโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้

• ตาฟาง หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของวิตามินเอ คือการมีส่วนช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น (rhodopsin และ iodopsin) หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืน หรือในที่ที่มีแสงส่วางน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล อีกทั้งในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรง อาจทำให้ตาบอดถาวรได้

• ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอ จึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลายอีกด้วย

อันตรายจากการกินวิตามินเอมากเกินไป
• แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่กินวิตามินเอเกินขนาด มีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์ คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากฤทธิ์ของวิตามินเอมีผลกับการเจริญเติบโตต่อเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป มีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู เป็นต้น

• อาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย และอาเจียนได้ หากกินวิตามินเอมากขนาดครั้งเดียว เกิน15,000 ไมโครกรัม

• เกิดการสะสม และเกิดโทษในระยะยาวได้ ทั้งนี้อาการที่พบบ่อยคือ ทำให้เบื่ออาหาร เจ็บกระดูกและข้อต่อ เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งนี้อาการทั้งหมดจะหายไปเองหากหยุดกิน
วิตามินซี

โดยทั่วไป ร่างกายของคนปกติมีความต้องการวิตามินซี อยู่ที่ประมาณ 60-90 มิลลิกรัม/วัน หากรับประทานวิตามินซีมากหรือน้อยกว่าจำนวนดังกล่าว อาจทำให้เกิดอันตรายตามมาดังนี้

อันตรายจากขาดวิตามินซี

• มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือกออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก
เป็น แผลหายช้า เนื่องจากวิตามินซีทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ จะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้าว่าปกติ

• เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย คุณสมบัติพิเศษอีกประการของวิตามินซี คือ เป็นตัวต่อต้านสารก่อมะเร็ง และช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายขาดวิตามินซี จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง และทำให้ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่าย

• เป็นโรคลักปิดลักเปิด ในกรณีของเด็กหรือผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซี น้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม อาจทำให้เป็นโรคลักกะปิดลักเปิดได้ ทั้งนี้หากร่างกายขาดวิตามินซีมากเกินปกติ อาจทำให้มีลูกยาก เป็นโรคโลหิตจาง และมีภาวะความผิดปกติทางจิตได้

อันตรายจากการกินวิตามินซีมากเกินไป

• เกาต์ เนื่องจากวิตามินซีมีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซีในปริมาณมาก จะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็ก ตามกระดูกข้อต่อต่างๆ มากขึ้น และอาจทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ในที่สุด

• นิ่วในไต นอกจากนั้นการกินวิตามินซีมากเกินไป อาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดงและซิลิเนียม ซึ่งส่งผลให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้ อีกทั้งในคนปกติหากได้รับ เกินกว่าวันละ10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้
วิตามินดี

ปกติเราสามารถสร้างวิตามินดีได้จากใต้ผิวหนัง เมื่อได้รับรังสีไวโอเลตในแสงแดด ทั้งนี้ ปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน คือ ประมาณ 5 ไมโครกรัม / วัน กระนั้นหากได้รับวิตามินดีมากหรือน้อยเกินไป ก็เป็นอันตรายเช่นกัน

อันตรายจากการขาดวิตามินดี
โททัล บาลานซ์ พลัส สารอาหารรวม 68 ชนิด


• โรคกระดูกอ่อน ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต การขาดวิตามินดีจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน เนื่องจากวิตามินดีทำงานร่วมกับแคลเซียม ในการช่วยควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย เมื่อขาดแคลเซียม จึงทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย อีกทั้งยังทำให้กระดูกตามส่วนต่างๆ ในร่างกายผิดรูป โค้งงอ และขาโก่ง อีกทั้งยังทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนในผู้ใหญ่ได้อีกด้วย

• ท้องเสีย นอนไม่หลับ ปัสสาวะบ่อย กระวนกระวาย กล้ามเนื้อกระตุก เป็นหวัดบ่อย กล้ามเนื้ออ่อนแอ ขาดความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง และความต้านทานโรคลดน้อยลง เป็นต้น
อันตรายจากการกินวิตามินดีมากเกินไป

• ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง โดยปกติร่างกายของเราสามารถกำจัดวิตามินดี ที่สร้างจากแสงแดดออกไปจากร่างกายตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากกินวิตามินดีเสริมมากเกินไป ก็อาจอันตรายได้ เช่น ถ้ากินวิตามินดีวันละ 25-50 ไมโครกรัมติดต่อกันนาน 6 เดือน อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก หรือท้องเสียเรื้อรัง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นผิดปกติ และอ่อนเพลียได้

• เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง เนื่องจากวิตามินดี มีส่วนช่วยในการดูดซึมฟอสฟอรัส และแคลเซียมจากลำไส้ ไปสร้างกระดูกและฟัน การขาดวิตามินดีจึงมีผลโดยตรง ที่ทำให้ระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกายไม่สมดุล ทำให้มีแคลเซียมสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ในเนื้อเยื่อ เลือด ตับ ไต ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมาได้

วิตามินอี

สำหรับคนปกติ มีปริมาณแนะนำสำหรับการบริโภควิตามินอี อยู่ที่ 15 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้ สำหรับในผู้ป่วยที่ต้องการวิตามินอีเพื่อการรักษาโรค สามารถรับประทานได้มากกว่านี้ แต่ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

อันตรายจากการขาดวิตามินอี

• โรคหัวใจกำเริบ วิตามินอีมีหน้าที่สำคัญในการจับสารอนุมูลอิสระ ที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดวิตามินอี มีส่วนทำให้อนุมูลเหล่านี้ ก็สามารถเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือด ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น และนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ก่อให้เกิดการเกิดก้อนเลือด และที่สุดทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบได้

• ระบบประสาทมีปัญหา ในกรณีของคนที่ร่างกายมีปัญหาในการดูดซึมไขมัน และในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด การได้รับวิตามินอีต่ำกว่าปริมาณที่กำหนด อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท และเป็นโรคโลหิตจางได้ เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายถูกทำลาย จนทำให้มีอายุสั้นลง
อันตรายจากการกินวิตามินอีมากเกินไป

• รู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย มีอาการอึดอัดในช่องท้อง ท้องร่วง เป็นต้น ทั้งนี้มีรายงานว่าถ้าร่างกายมีวิตามินอีสูงมาก อาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอ ซึ่งส่งผลทำเลือดแข็งตัวช้าลง เป็นต้น

โพสต์ต่อไปเป็นเรื่องใดโปรดดิตตามคะ สวัสดีค่ะ ^/\^

ขอขอบคุณ
  • นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 206